AI – Big Data นำทัพไทยสู้ภาวะโลกรวน

AI – Big Data นำทัพไทยสู้ภาวะโลกรวน

ประเทศไทยยกระดับการรับมือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มกำลัง โดยผนวกรวมยุทธศาสตร์ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อผลกระทบ เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนใหม่ที่สำคัญยิ่ง ความพยายามนี้เป็นการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของคนในชาติอย่างกว้างขวาง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ยกระดับจากการเป็นเพียงประเด็นท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สู่การเป็นปัจจัยกำหนดอนาคตทางเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิต ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับกระบวนทัศน์และเสริมศักยภาพในการรับมืออย่างรอบด้าน ทั้งในมิติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่แม่นยำ และการปรับตัว (Adaptation) เพื่อรับมือกับผลกระทบที่ได้เกิดขึ้นและแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงในอนาคต ในการขับเคลื่อนวาระสำคัญนี้ เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญและเป็นโอกาสครั้งใหม่ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพและเร่งรัดการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ (Climate Action)

ขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม ผสาน AI และ Big Data

ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการกำหนดนโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางรากฐานและทิศทางการรับมือกับภาวะโลกรวน โดยไม่เพียงมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบ แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำเครื่องมือดิจิทัลสมัยใหม่อย่าง AI และ Big Data มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร. สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายระดับชาติ ด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยตั้งเป้าหมายนำนวัตกรรมมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศลงคิดเป็นปริมาณประมาณ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) สอวช. ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกลาง (Focal Point) ของ UNFCCC ในส่วนนี้ AI และ Big Data มีศักยภาพสูงในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ซับซ้อน พยากรณ์แนวโน้มผลกระทบ และประเมินประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆ เพื่อให้การกำหนดนโยบายมีความแม่นยำและตรงจุดยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากการมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดร. สุรชัย ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของมิติการปรับตัว (Adaptation) ซึ่ง AI สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems) สำหรับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือการกัดเซาะชายฝั่ง ดังตัวอย่างปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน หรือความจำเป็นที่กรุงเทพมหานครต้องเตรียมการป้องกันปัญหาน้ำท่วม การวิเคราะห์ Big Data จากภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลภาคพื้นดิน จะช่วยให้การวางแผนปรับตัวมีความจำเพาะต่อพื้นที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ดร. สุรชัย แสดงความห่วงใยต่อระบบ MRV (Measurable, Reportable, Verifiable) ที่เข้มแข็ง ซึ่ง AI และ Big Data สามารถยกระดับระบบ MRV ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยในการรวบรวม ประมวลผล และตรวจสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลากหลายแหล่งที่มา ทำให้เกิดความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สอวช. จึงให้ความสำคัญกับการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการสร้างเครื่องมือเหล่านี้ ดร.สุรชัยยังให้ทัศนะว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจยังไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีอื่น รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงเข้ามาเสริม พร้อมทั้งเสนอให้ภาคเอกชนไทยแสวงหาการสนับสนุนจากกองทุนระหว่างประเทศ เช่น Green Climate Fund (GCF) เพื่อนำมาลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ สอวช. สนับสนุนการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าระบบนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation System) ที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางด้านสภาพภูมิอากาศและการใช้ AI เพื่อพัฒนาค่า Emission Factor ที่จำเพาะสำหรับประเทศไทย

ปั้นนวัตกรรม ขับเคลื่อน Climate Tech Ecosystem

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการนำนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศไปสู่การปฏิบัติจริง โดยเฉพาะการสร้างและส่งเสริมระบบนิเวศสำหรับเทคโนโลยีภูมิอากาศ (Climate Tech Ecosystem) NIA มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI และ Big Data เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายความยั่งยืน

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวว่า Climate Tech ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ และ AI กับ Big Data คือเครื่องมือที่จะปลดล็อกศักยภาพของ Climate Tech NIA จึงดำเนินงานส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven solutions) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนของ NIA ครอบคลุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ การทดสอบ และการขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านกลไก Groom, Brand, Growth, Global เพื่อผลักดันนวัตกรรมไทยที่ใช้ AI และ Big Data ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และตอบโจทย์มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป

NIA มุ่งส่งเสริมสตาร์ตอัพและ SME ที่พัฒนาโซลูชัน Climate Tech โดยใช้ AI และ Big Data เช่น ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (AI-powered Energy Management) แพลตฟอร์ม IoT สำหรับ Smart Utility และ Smart Factory ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์เพื่อหาแนวทางลดการสูญเสีย หรือโซลูชันด้านเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศและดินเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การเปลี่ยนแหล่งพลังงาน และการดักจับคาร์บอน ล้วนสามารถใช้ AI และ Big Data เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพได้ทั้งสิ้น สำหรับ SME ปริวรรตเน้นย้ำว่าการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้ SME สามารถติดตามและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แม่นยำขึ้น ทำให้เข้าถึงโอกาสในการเป็นซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Supplier ได้ง่ายขึ้น

ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ.2608 และ Carbon Neutrality ภายในปี พ.ศ.2593 ซึ่ง AI และ Big Data จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามความก้าวหน้า ประเมินช่องว่าง และพัฒนากลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ แม้ปัจจุบันศักยภาพการดูดกลับคาร์บอนของไทยยังจำกัด และเทคโนโลยี CCUS ส่วนใหญ่อยู่ในขั้น R&D แต่การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่จะช่วยระบุพื้นที่ศักยภาพสำหรับการทำ CCUS หรือการปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ NIA จึงมุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ความร่วมมือ Thailand Climate Action Ecosystem Collaboration หรือ ThaiCEC ซึ่งเป็นการพัฒนาโซลูชัน เทคโนโลยี และแสวงหาโอกาสทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ Climate Tech โดยมี AI และ Big Data เป็นองค์ประกอบสำคัญ

นำร่องใช้ AI และ Big Data ขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานยั่งยืน

ในฝั่งภาคเอกชน การลงทุนและปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในองค์กรตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล AI และ Big Data มาเป็นเครื่องมือหลักในการปฏิรูปธุรกิจพลังงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อเป้าหมายระดับโลก

อนุรักษ์ บรรณศักดิ์ Head of Innovation Studio บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero Carbon Emission ภายในปี ค.ศ. 2050 สอดคล้องกับความตกลงปารีส โดยเทคโนโลยีดิจิทัล AI และ Big Data เป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ได้พัฒนาระบบ Smart Digital Ecosystem สำหรับธุรกิจพลังงาน ซึ่งเห็นได้ชัดจากการใช้ AI และ Machine Learning ในแพลตฟอร์ม Aggregator Platform เพื่อรองรับการเปิดเสรีตลาดพลังงานและระบบ Third Party Access แพลตฟอร์มนี้จะใช้ AI ในการพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานพลังงานจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน และบริหารจัดการการซื้อขายไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม Industry 3.0 ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ Business Intelligence Tool ใช้ Big Data จากการใช้พลังงานของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทาง Optimization และ Efficiency แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังระบบการผลิต เพื่อให้เกิดการผลิตและใช้พลังงานที่สอดคล้องกันอย่างชาญฉลาด ลดการสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็น การลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจนและการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเดิม ล้วนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ซึ่ง AI สามารถเข้ามาช่วยในการควบคุมกระบวนการผลิตและบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)

อนุรักษ์มองว่า แม้โครงสร้างพื้นฐานด้านการไฟฟ้าของไทยจะแข็งแกร่ง และประเด็นความยั่งยืนเป็นวาระที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ แต่ความท้าทายคือความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ ในส่วนของการพัฒนานวัตกรรม บี.กริม เพาเวอร์ ได้จัดตั้ง Innovation Studio และเน้นการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ซึ่ง AI และ Big Data จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insight) เพื่อสร้างโจทย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและเป้าหมายด้านความยั่งยืน อนุรักษ์ยังเสนอให้มีการพัฒนาช่องทางหรือ Portal ที่ช่วยให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเทคโนโลยี สตาร์ตอัพ และนักวิจัยด้าน AI for Climate Action ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

การขับเคลื่อน Climate Action ของประเทศไทยกำลังก้าวสู่มิติใหม่ที่เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI และ Big Data จะเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ทั้งในระดับนโยบาย การวิจัยและพัฒนา การดำเนินงานของภาคเอกชน และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เข้มแข็ง การผสานพลังของข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เข้ากับความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และสร้างอนาคตสีเขียวสำหรับคนไทยทุกคน