เศรษฐกิจหมุนเวียน: ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ถึงเวลาลงมือทำ ก่อนสายเกินไป

เศรษฐกิจหมุนเวียน: ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ถึงเวลาลงมือทำ ก่อนสายเกินไป

เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ใช่แค่คำศัพท์สวยหรู แต่คือ เทรนด์ใหม่เพื่อความรอดของภาคธุรกิจ ที่ทุกองค์กรต้องเร่งศึกษาและลงมือปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ในแบบฉบับของตนเอง ก่อนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกที่ทรัพยากรมีจำกัดและผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การเพิกเฉยต่อแนวคิดนี้อาจหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และผลกระทบต่อความยั่งยืนในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วนได้ร่วมกันชี้ให้เห็นความสำคัญและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยแต่ละองค์กรต่างมีมุมมอง การดำเนินการ และแผนงานที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือสถาบันการศึกษา ต่างก็มองเห็นความจำเป็นเร่งด่วนและโอกาสในวิถีเศรษฐกิจใหม่นี้

เศรษฐกิจหมุนเวียน คือการมองทรัพยากรทุกชนิดให้สามารถหมุนเวียนกลับมาสร้างประโยชน์ได้ไม่รู้จบ ดุจวัฏจักรในธรรมชาติ แตกต่างจากเศรษฐกิจแบบเส้นตรง (Linear Economy) ที่เคยชินกับการ ผลิต-ใช้-ทิ้ง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาขยะล้นเมืองและทรัพยากรที่ร่อยหรอลงทุกวัน การไม่ปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนจึงไม่ต่างจากการเดินหน้าสู่ทางตัน

SCGP: นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์สู่เศรษฐกิจหมุนเวียน

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP มองว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน คือหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤติด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ท่านได้กล่าวถึงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ 30 กว่าปีก่อน จากการเข้ามาของ Disruptive Innovation เช่น ถุงพลาสติก ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทและสร้างผลกระทบต่อตลาดวัสดุแบบดั้งเดิม

SCGP ในฐานะผู้พัฒนาโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจรชั้นนำ ซึ่งมีทั้งผลิตภัณฑ์จากเยื่อกระดาษและพอลิเมอร์ (พลาสติก) ได้เติบโตและพัฒนานวัตกรรมมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี มาถึงวันนี้ พลาสติกได้กลายเป็นประเด็นท้าทายสำคัญด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อม ดังเช่นข้อมูลจาก Ellen MacArthur Foundation ที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ขยะพลาสติกในมหาสมุทรจะมีปริมาณมากกว่าปลา

SCGP จึงตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก Reduce Reuse Recycle ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development หรือ WBCSD) แนะนำให้ CEO กว่า 70 บริษัททั่วโลกนำมาพิจารณาในการปรับ Business Model และมองว่าการลงทุนในเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่าย

ในการดำเนินงานปัจจุบัน SCGP ได้พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนในการผลิตกระดาษเกิน 90% แม้จะมีความท้าทายในการจัดการกระดาษหลากหลายประเภท เช่น กระดาษเคลือบเงา กระดาษลูกฟูก หรือกระดาษลังสี ซึ่งรีไซเคิลยากกว่า

นอกจากนี้ SCGP ยังดำเนินโครงการปลูกป่าในเครือ ESG ปีละ 300,000 ต้นเพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ (Product Lifecycle) และการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์จากทรัพยากรหมุนเวียน เช่น พลาสติกชีวภาพที่ทำจากไม้ไผ่และเศษไม้สับ ทั้งยังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่ส่งเสริมการนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำ และให้ความรู้เรื่องการคัดแยกพลาสติกที่รีไซเคิลได้ดีเช่น PET

สำหรับแผนในอนาคต SCGP มุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ผลักดันแนวคิด Zero Waste ในวงกว้าง ส่งเสริมระบบการจัดการขยะแบบ Dual Stream หรือการแยกขยะเปียกและขยะแห้งออกจากกันตั้งแต่ต้นทาง และระบบ Single Stream หรือการรวบรวมขยะรีไซเคิลหลายประเภทไว้ในถังเดียวเพื่อให้ไปคัดแยกที่โรงคัดแยกวัสดุรีไซเคิล (Material Recovery Facility หรือ MRF) และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาระบบการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการให้ความรู้และความสำคัญของการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง

หาก SCGP ไม่ปรับตัวอย่างเข้มข้นสู่แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน อาจต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติที่ผันผวน แรงกดดันจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันหากไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ

เซ็นทรัลพัฒนา: เปลี่ยนขยะสร้างมูลค่าสู่ธุรกิจหมุนเวียน

อุทัยวรรณ อนุชิตานุกุล จาก บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน คือเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีผู้คนเข้ามาใช้บริการนับล้านคนต่อวันในพื้นที่ศูนย์การค้า ออฟฟิศ โรงแรม และที่อยู่อาศัย ก่อให้เกิดปริมาณขยะมหาศาลทั่วประเทศราว 17,000 ตันต่อปี จึงเป็นทั้งความท้าทายและความจำเป็นในการค้นหาวิธีเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า

ที่ผ่านมา CPN ได้ริเริ่มโครงการนำร่องที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลแอร์พอร์ต เชียงใหม่ ซึ่งจัดการขยะ 58 ตันต่อปี โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำขยะอินทรีย์ไปบริหารจัดการด้วยนวัตกรรม เปลี่ยนเป็นไบโอแก๊สสำหรับผลิตไฟฟ้า และกากที่เหลือเป็นสารปรับปรุงดินคุณภาพดี ซึ่งถูกนำไปใช้เพาะปลูกข้าว และข้าวที่ได้ก็นำกลับมาจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตของเซ็นทรัล เป็นการปิดวงจรอย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการคัดแยกขยะประเภทอื่นๆ โดยพบว่าการตั้งถังขยะรูปทรงขวด ช่วยให้สามารถรวบรวมขวดพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ร่วมมือกับ Startup ในการนำขยะอื่น ๆ ไปสู่ Recycler CPN ยังมีการจัดตั้งจุด Recycle Shop ในหลายสาขาของศูนย์การค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคและแก้ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ในการรวบรวมวัสดุรีไซเคิล และดำเนินโครงการ Green Partnership เพื่อให้ความรู้และสนับสนุนผู้เช่าพื้นที่ในการจัดการขยะ เช่น การประหยัดพลังงาน และการสอนวิธีการคัดแยกขยะที่ถูกต้อง ณ จุดปฏิบัติงานของผู้เช่า

CPN มีแผนจะขยายผลสำเร็จจากโครงการนำร่องไปยังสาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งเดินหน้าทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยง (Connector) และผู้สร้างความร่วมมือ (Collaborator) ระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศของเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แข็งแกร่ง และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการรวบรวมและจัดการวัสดุรีไซเคิล

หาก CPN ไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ จะต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์องค์กร นอกจากนี้ ดังที่อุทัยวรรณกล่าวไว้ว่า “ระเบียบต่าง ๆ มันกำลังเริ่มมีเข้ามา…อาจจะปรับตัวไม่ทันถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้” ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่: นวัตกรรมจัดการขยะเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน

รศ. ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มองว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน คือแนวทางปฏิบัติที่สามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม และยังสามารถสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน มหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทสำคัญในการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้

มช. มีประสบการณ์ด้านการจัดการขยะมากว่า 10 ปี โดยเริ่มจากการเข้าไปช่วยจัดการขยะให้ชุมชน เช่น ที่ศูนย์บ่อฝาง เพื่อให้ชุมชนอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น และได้รับงบประมาณสนับสนุนกว่า 30 ล้านบาทในการพัฒนาต้นแบบระบบจัดการขยะหลากหลายรูปแบบ

ระบบที่ มช. พัฒนาขึ้น สามารถจัดการขยะมูลฝอยที่ไม่ได้คัดแยกอย่างละเอียด ลดปัญหากลิ่นเหม็น ซึ่งดำเนินการสำเร็จมากว่า 6 ปี และสามารถลดปริมาณขยะจาก 100% เหลือเพียงประมาณ 3% เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนขยะอินทรีย์เป็นแก๊สมีเทนเพื่อผลิตไฟฟ้าและใช้เป็นเชื้อเพลิงยานยนต์ หรือรถแก๊ส โดยการนำแก๊สมาทำให้บริสุทธิ์เพื่อเติมรถยนต์ส่วนตัว และพัฒนาปุ๋ยคุณภาพสูงซึ่ง CPN นำไปใช้ประโยชน์

งานวิจัยที่โดดเด่นอีกชิ้นของ มช. คือการนำขยะพลาสติกราว 100 กิโลกรัม ต่อถนน 1 กิโลเมตร มาเป็นส่วนผสมในการทำถนนแอสฟัลต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตถนน ทำให้ถนนมีความทนทานและกันน้ำได้ดีขึ้น

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีแผนจะเดินหน้าทำงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมทั้งขยายผลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จไปสู่การใช้งานจริงในวงกว้าง และถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ

หากไม่ผลักดันแนวทางนี้ ประเทศจะยังคงเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น สูญเสียโอกาสในการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ และต้องพึ่งพาวิธีการกำจัดขยะแบบเดิม ๆ ที่มีต้นทุนสูงและไม่ยั่งยืน ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นได้ช้า

กทม.: จัดการขยะเมืองหลวงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษา ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน คือยุทธศาสตร์สำคัญในการบริหารจัดการขยะเมืองหลวง โดยเฉพาะขยะเศษอาหาร ซึ่งเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญ ที่มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมด หรือประมาณ 4,500 ตัน จาก 9,000 ตันต่อวัน และเป็นตัวการทำให้ขยะอื่น ๆ ปนเปื้อนจนรีไซเคิลได้ยาก กทม. จึงมองว่าการจัดการขยะเศษอาหารคือจุดเริ่มต้นสำคัญในการดึงทรัพยากรกลับคืนมา

ขณะนี้ กทม. ได้ออกมาตรการส่งเสริมการคัดแยกขยะเศษอาหารอย่างจริงจัง เช่น การปรับอัตราค่าธรรมเนียมเก็บขนขยะจาก 20 บาท เป็น 60 บาทต่อเดือน แต่หากครัวเรือนมีการคัดแยกขยะ จะได้รับการลดหย่อนเหลือ 20 บาทตามเดิม โครงการแจกถังเขียวสำหรับใส่ขยะเศษอาหารให้ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน นำร่องเช่นในเขตสัมพันธวงศ์ และจัดรถเก็บขนขยะเศษอาหารแยกตามวันเวลาที่กำหนด เช่น วันจันทร์ วันพฤหัสบดี เพื่อนำไปเข้าโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สและผลิตปุ๋ยหมักกลับคืนสู่ชุมชน

สำหรับขยะแห้งหรือขยะรีไซเคิล กทม. ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่มีขยะแห้งคัดแยกแล้วแต่ไม่รู้จะนำไปขายที่ไหน กับภาคเอกชนที่รับซื้อของเก่า หรือจัดตั้งจุดรวบรวมตามสถานที่ราชการและปั๊มน้ำมัน

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเป้าหมายให้ 50 เขต เข้าไปส่งเสริมการจัดการขยะ ณ แหล่งกำเนิด (Onsite Management) ใน 22 กลุ่มแลนด์มาร์คสำคัญ เช่น วัด โรงเรียน สำนักงาน ห้าง ตลาด โดยเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรย่านนนทบุรี ปทุมธานี ที่ต้องการเศษอาหารไปเลี้ยงสัตว์เนื่องจากอาหารสัตว์มีราคาแพง หรือส่งเสริมให้ห้างร้านลงทุนในเครื่องกำจัดขยะเศษอาหาร เครื่องหมักปุ๋ย หรือการใช้หนอนแมลงวันลายทหารดำ (Black Soldier Fly หรือ BSF) ในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็กที่สามารถจัดการขยะได้ราว 3 ตัน ซึ่งหนอน BSF สามารถกินเศษอาหารได้ 10 เท่าของน้ำหนักตัวและตัวหนอนเองก็ขายได้ราคาดี

ในอนาคต กทม. จะผลักดันนโยบายคัดแยกขยะให้เกิดผลในวงกว้าง โดยมีการติดตามผลการดำเนินงานของแต่ละเขตอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณการจัดการขยะของ กทม. ที่สูงถึงปีละ 7 พันล้านบาท คาดว่าการลดขยะ 2,000 ตันต่อวัน จะประหยัดได้ 2,000 ล้านบาท จากค่ากำจัดตันละ 2,300 บาท และจะมีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นกับสถานประกอบการ อาจปรับค่าธรรมเนียม 4 เท่าหากไม่แยกขยะ ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจภายใต้แนวคิด Zero Waste

หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง กทม. จะต้องเผชิญกับวิกฤติด้านขยะที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะจะสูงจนเกินรับไหว พื้นที่สำหรับฝังกลบขยะจะหายากขึ้น และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะปนเปื้อนจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง

ถึงเวลาที่ทุกคนต้องตระหนักว่า เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด การเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในแบบของตนเอง ทั้งในระดับบุคคล องค์กร หรือชุมชน ล้วนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เพราะหากไม่เริ่มวันนี้ อนาคตที่ยั่งยืนอาจเป็นเพียงความฝันที่ไปไม่ถึง