ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและวิกฤติสิ่งแวดล้อมโลกที่กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ คำถามสำคัญสำหรับวงการสตาร์ตอัพไทยคือ “โอกาสอยู่ที่ไหน และต้องมีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะพิชิตใจนักลงทุน” เวที Startup Thailand 2025 โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนผ่านวงเสวนาที่กลายเป็นไฮไลท์ของงาน กับการเจาะลึกทิศทางการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Tech) และพลังงาน (Energy Tech) จากมุมมองของ 3 Corporate Venture Capital (CVC) แถวหน้าของประเทศ ได้แก่ วรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง Head of Investment จาก Beacon Venture Capital ชยุตม์ ฉัตนวรัตน์ Investment Principal จาก Innopower และ เพชร วรรณิสสร Principal – Corporate Venture Capital จาก Banpu PCL ซึ่งบทสรุปจากเวทีนี้ได้ฉายภาพอนาคตและคุณสมบัติของสตาร์ตอัพที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ตลาดเติบโตสวนกระแส แม้เผชิญภาวะ Funding Winter
มุมมองจากเวทีเสวนามองตรงกันว่า แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะอยู่ในภาวะที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังสูง หรือที่เรียกว่า “Funding Winter” ซึ่งสตาร์ตอัพจำเป็นต้องบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างรัดกุม แต่ตลาด Green Tech กลับมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากเมกะเทรนด์ระดับโลกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ที่ผลักดันให้เกิดความต้องการโซลูชันใหม่ ๆ ในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงทั้งพลังงาน การเดินทาง และอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังมีโอกาสเติบโตอีกมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีหลายชนิดเริ่มมีราคาที่แข่งขันได้และสามารถคืนทุนได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจถึงคลื่นลูกใหม่จากความต้องการพลังงานมหาศาลของเทคโนโลยี AI ซึ่งกำลังเปิดโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ให้กับสตาร์ตอัพในกลุ่มประสิทธิภาพพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งคือหัวใจ ไม่ใช่แค่ไอเดีย
สำหรับนักลงทุน CVC แล้ว คุณสมบัติของสตาร์ตอัพที่น่าลงทุนนั้นมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม แนวคิดที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป แต่หัวใจสำคัญคือโมเดลธุรกิจที่จับต้องได้และมีศักยภาพในการเติบโตจริง สตาร์ตอัพจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาด (Total Addressable Market) ที่ใหญ่พอจะสร้างการเติบโตในระดับสูงได้ ควบคู่ไปกับความสามารถในการทำกำไร ซึ่งต้องพิสูจน์ได้ว่ามี Unit Economics (การได้กำไรขาดทุนของธุรกิจ ซึ่งจะสามารถช่วยคาดการณ์การทำกำไรในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น) ที่เป็นบวก หรือขายแล้วมีกำไรในทุกหน่วย โดยพิจารณาจากต้นทุนที่แท้จริงที่ไม่มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
นอกจากนี้ ยังต้องมีเส้นทางที่ชัดเจนในการไปสู่จุดที่ราคาเทียบเท่ากับโซลูชันดั้งเดิมที่ไม่ใช่สายกรีนได้ (Parity Price) ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับสตาร์ตอัพระยะเติบโต การมีลูกค้าจริง (Commercial Traction) ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของตลาด สุดท้ายคือความแข็งแกร่งของธุรกิจที่สามารถยืนหยัดได้ในทุกสภาวะ มีความทนทานและปรับตัวเก่งเพื่อความอยู่รอด หรือที่เรียกว่าเป็น “Cockroach Company” (ในบริบทของธุรกิจหมายถึงบริษัทสตาร์ตอัพที่เน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน โดยเน้นที่รายได้และกำไร มีการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดและมีความทนทานต่อสถานการณ์ทางธุรกิจที่ผันผวน บริษัทเหล่านี้มักจะถูกมองว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนต่ำกว่าบริษัท “ยูนิคอร์น” ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว) ซึ่งนอกเหนือจากตัวเลขแล้ว นักลงทุนยังมองลึกไปถึงความมุ่งมั่นและเหตุผลส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง ที่ทำให้การสร้างบริษัทนี้มีความหมายอย่างแท้จริง
ทีมที่สมบูรณ์ต้องผสานศาสตร์และศิลป์ทางธุรกิจ
นอกเหนือจากโมเดลธุรกิจ คุณภาพของทีมผู้ก่อตั้งคืออีกปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ สิ่งที่นักลงทุนมองหาไม่ใช่แค่ทีมที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคหรือวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างผู้เชี่ยวชาญสายเทคนิคและผู้ที่มีทักษะสายธุรกิจและการขาย จุดอ่อนที่พบบ่อยในกลุ่มสตาร์ตอัพ Deep Tech คือการมีเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยม แต่ไม่สามารถสื่อสาร “ประโยชน์ในเชิงการเงิน” ให้ลูกค้าองค์กรเข้าใจและตัดสินใจซื้อได้ การสร้างทีมที่ครบเครื่อง มีทั้งผู้นำทางธุรกิจ ผู้บริหารด้านการเงิน การตลาด และกลยุทธ์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบัน การนำ AI เข้ามาปรับใช้ก็กลายเป็นโจทย์สำคัญที่แม้แต่องค์กรใหญ่ก็มอบหมายให้ทุกทีมงานต้องมองหาแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
CVC พร้อมเป็นสะพานเชื่อมช่องว่างใน Ecosystem ไทย

การเสวนาได้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในระบบนิเวศของไทย ซึ่งต้องการนโยบายจากภาครัฐที่ต้องมีทั้งมาตรการเชิงบังคับ (ไม้แข็ง) และมาตรการจูงใจ (แครอท) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงงานวิจัยในมหาวิทยาลัยสู่การนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม CVC ที่ร่วมเสวนาต่างแสดงความมุ่งมั่นที่จะเข้ามาเป็น “สะพานเชื่อม” ช่องว่างเหล่านี้ ผ่านการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น Beacon Impact Fund ที่ลงทุนไปแล้วกว่า 12-13 ล้านเหรียญสหรัฐ Innopower ที่มีพอร์ตการลงทุนเกือบทั้งหมดอยู่ในสายนี้ หรือ Banpu ที่ลงทุนอย่างหนักผ่านทั้ง Banpu Next และ Banpu BCPG ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงสนับสนุนที่พร้อมจะมอบให้กับสตาร์ตอัพไทยในการก้าวข้ามข้อจำกัดของตลาดในประเทศ และขยายตัวสู่เวทีระดับนานาชาติ
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ: เรียนรู้จากผู้นำและอย่าเดินเดียวดาย
บทสรุปสุดท้ายจากเวทีเสวนาได้มอบกลยุทธ์และกำลังใจที่ชัดเจนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือการเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่น หรือ “Success leaves clues” โดยสตาร์ตอัพควรศึกษาโมเดลที่พิสูจน์แล้วในต่างประเทศ เช่น Sunseap จากสิงคโปร์ หรือ Xpansiv ของสหรัฐฯ แล้วนำมาปรับใช้กับบริบทของไทย ขณะเดียวกันก็ไม่ควรเดินทางโดยลำพัง การหาพี่เลี้ยง (Mentor) หรือพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น ปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่าง “Climate Guide for Thailand“ ที่ทีม Beacon ได้ร่วมจัดทำกับ BCG เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการ การสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสตาร์ตอัพและองค์กรใหญ่ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่น ความสำเร็จของ Sharge ในการร่วมมือกับพันธมิตรใหญ่อย่าง Rêver Automotive ผู้จัดจำหน่าย BYD หรือความพยายามในการนำเทคโนโลยีของ Nano Coating มาทดลองใช้กับธุรกิจของบ้านปู สุดท้ายคือความอดทนและมุ่งมั่น เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ แต่สำหรับผู้ที่พร้อมและยืนหยัดได้ นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะเติบโตไปพร้อมกับอนาคตของโลกที่ยั่งยืน