คนรุ่นใหม่ไทยนิยมใช้ GenAI ทำงาน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาจัดสมดุลชีวิต

คนรุ่นใหม่ไทยนิยมใช้ GenAI ทำงาน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาจัดสมดุลชีวิต

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจพฤติกรรมวัยทำงาน Gen Z และ Gen Y ประจำปี 2568 คนรุ่นใหม่ไทยใช้ Generative AI อย่างแพร่หลายในการทำงาน เหตุช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาให้สามารถจัดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และช่วยให้การทำงานดีขึ้น ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า คนรุ่นใหม่ไทยเผชิญความเครียดเรื้อรัง ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และตั้งคำถามถึงความหมายของงาน ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับวิธีคิดเพื่อรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพไว้ในระยะยาว ส่วน “เงิน ความหมายของงาน ความเป็นอยู่ที่ดี” เป็น 3 คุณค่าหลักที่คนรุ่นใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญที่สุด

ผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennial Survey ที่จัดทำในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. 2567 จากกลุ่มตัวอย่าง 23,482 คน ของ 44 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 330 คน แบ่งเป็น  Gen Z วัย 18-30 ปี จำนวน 209 คน และ Gen Y วัย 30-42 ปี จำนวน 121 คน

กัญญ์ทิพา เครือแก้ว ณ ลำพูน ผู้จัดการอาวุโส แผนก Organization Transformation และ ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย ร่วมกันให้ข้อมูลว่า คนรุ่นใหม่ของไทย และทั่วโลก ล้วนให้ความสำคัญต่อ ‘Trifacta’หรือ 3 คุณค่าหลักที่ส่งผลต่อความสุข ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี

ผลสำรวจพบว่า รายได้มีความเชื่อมโยงกับระดับความสุขมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 64% ความเป็นอยู่ที่ดีและความหมายของงาน มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกันที่ประมาณ 56% โดยกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับคุณค่าทั้ง 3 ด้านมากกว่า Gen Z ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่มากกว่า

ทั้งนี้ ในด้านการเงินนั้น พบว่า ค่าครองชีพ เป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยความกังวล 3 อันดับแรกของทั้ง 2 เจนเนอเรชั่นไทยล้วนตรงกัน คือ ค่าครองชีพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามด้วย 2 อันดับถัดมา คือ 1. สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และ 2. การดูแลสุขภาพ

ใส่ใจเงินระยะสั้นกว่าวางแผนอนาคต

ส่วนมุมมองความมั่นคงทางการเงิน ประมาณ 63% ของคนไทยต่างใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือนหรือไม่เหลือให้ออม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มี 52% และประมาณ 25% ยังต้องดิ้นรนในการจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 36% แต่กลับสะท้อนถึงแรงกดดันทางการเงินที่ยังมีอยู่

นอกจากนี้ ประมาณ 27% ของคนไทยเห็นว่าอาจไม่สามารถเกษียณได้อย่างมั่นคงทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 42%

ข้อมูลทั้งหมดนี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเงินในระยะสั้น มากกว่าการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ

ทำงานกับนายจ้างที่ตรงค่านิยม

ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของตนเองในหมู่คนรุ่นใหม่ของไทย พบว่า ประมาณ 54% ให้ความสำคัญกับเพื่อนและครอบครัว ตามด้วยงานหลัก 46% และกิจกรรมทางวัฒนธรรม 32% โดยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก

คนรุ่นใหม่ไทยยังเห็นด้วยกับอาชีพเสริม ประมาณ 29% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 14% และประมาณ 30% เห็นด้วยกับการออกกำลังกาย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 25% เล็กน้อย

Gen Z 62% และ Gen Y 56% ปฏิเสธที่จะทำงานกับนายจ้างที่ดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 40% อีกทั้ง Gen Z 37% และ Gen Y 45% ยินดีที่จะลาออกจากงาน หากไม่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือหลักที่ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต โดยเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 45%

ประเด็นนี้สะท้อนถึงคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับ “คุณค่าร่วม” และภาพลักษณ์ขององค์กร องค์กรต่าง ๆ จึงควรตระหนักว่า ปัจจัยด้านค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ของการเลือกงานและการอยู่กับองค์กรในระยะยาว

ทั้งนี้ คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นว่า Sense of Purpose (ความรู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีคุณค่าและเป้าหมายที่ชัดเจน) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม

Gen Y กังวลสุขภาพ

คนไทยรุ่นใหม่กว่า 1 ใน 3 ระบุว่า รู้สึกเครียดหรือกังวลเกือบหรือแทบตลอดเวลา โดย Gen Z มีความเครียดจากแทบทุกปัจจัยสูงกว่า Gen Y ทั้งเรื่องอนาคตทางการเงินในระยะยาว สุขภาพส่วนตัว ภาระในบ้านหรือการดูแลครอบครัว หรือปัญหาการเงินในชีวิตประจำวัน ยกเว้นเรื่องสุขภาพหรือความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ที่ Gen Y มีระดับความกังวลสูงกว่าเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะวัยที่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของคนไทยรุ่นใหม่ยังระบุว่า งานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างความเครียด โดยสาเหตุหลักมาจาก ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ และการไม่รู้สึกถึงความหมายหรือเป้าหมายในสิ่งที่ทำ

“ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า Gen Z มีระดับความเครียดในทุกมิติเหนือกว่า Gen Y อย่างชัดเจน โดยอาจกล่าวได้ว่า Gen Y สามารถรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานได้มากกว่า ทั้งยังพบว่า หลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แม้พนักงานจะทำงานเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่หลายองค์กรต้องเร่งออกแบบแนวทางรับมืออย่างเป็นระบบ”

อย่างไรก็ตาม คนไทยรุ่นใหม่ประมาณ 80% เชื่อว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างจริงจัง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 61% สะท้อนว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยได้ปรับตัว ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และที่สำคัญ คือ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจดังกล่าว

ใช้ Gen AI ลดภาระงาน เพิ่มคุณภาพชีวิต

ผลสำรวจยังพบว่า Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทยประมาณ 85% ต่างเคยใช้ GenAI ช่วยในการทำงาน แม้ว่า Gen Z จะใช้ในกิจกรรมประจำวันมากกว่า แต่ Gen Y มีแนวโน้มในการใช้งานที่หลากหลายกว่า

3 อันดับแรกที่ทั้ง 2 เจนเนอเรชั่น นิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างเนื้อหา โดย Gen Y ยังใช้งานบางด้านที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสร้างเนื้อหา

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนถึงรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวที่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ยังมีคำถามสำคัญว่า องค์กรและบุคลากรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงนี้มากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ 1 ใน 4 ของคนทั้ง 2 เจนเนอเรชั่น ได้รับการฝึกอบรมการใช้ GenAI แล้ว แต่อีกประมาณครึ่งหนึ่ง หรือมากกว่า วางแผนจะเข้ารับการอบรมภายใน 12 เดือนข้างหน้า

มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อเทคโนโลยีนี้ มีทั้งแง่บวกและลบ โดยประมาณ 90% เชื่อว่าจะช่วยลดเวลาในการทำงาน ทำให้เกิดสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังมีมุมมองด้านลบ ที่ประมาณ 3 ใน 4 กังวลว่าอาจทำให้งานน้อยลง และ 85% เห็นว่าต้องเลือกงานที่มีความเสี่ยงน้อยจากระบบอัตโนมัติ

ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนว่า GenAI กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา Soft Skills ที่เทคโนโลยีไม่อาจทดแทนได้ เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมนั้น องค์กรต่างๆ ยังเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการการใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่รู้สึกว่างานของตัวเองถูกลดทอนคุณค่า

รายได้ แรงดึงดูดเปลี่ยนงาน

ส่วนการทำงานในสายอาชีพ ประมาณ 10% ของ Gen Z และ 20% ของ Gen Y ในประเทศไทยไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก โดยเหตุผลหลักของการเปลี่ยนสายอาชีพ คือ ต้องการรายได้ที่ดีกว่า ซึ่งพบในกลุ่ม Gen Y สูงถึง 60% แต่ Gen Z พบ 30% ซึ่งให้ความสำคัญกับเหตุผลอื่นมากกว่าอย่างชัดเจน เช่น สถานการณ์ตลาดแรงงาน ภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว ความสนใจที่เปลี่ยนแปลง หรือโอกาสเริ่มต้นทำธุรกิจ ซึ่งสะท้อนว่า Gen Z ยังคงอยู่ในช่วงการสำรวจตัวเองและเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ขณะที่ Gen Y ซึ่งอายุมากขึ้นเริ่มมุ่งเน้นความมั่นคงตามประสบการณ์ที่สั่งสมมา

เป้าหมายด้านอาชีพ 3 อันดับแรกที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิต อย่างไรก็ตาม กลุ่มสำรวจคนไทยให้ความสำคัญน้อยที่สุดต่อการเติบโตเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเอง ที่ปกติมักถูกมองว่าเป็นเป้าหมายสำคัญในโลกการทำงาน

คนไทยรุ่นใหม่เกือบ 85% ระบุว่า ได้พัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยทั้ง 2 เจนเนอเรชันมีแนวทางการเรียนรู้ความใกล้เคียงกัน ซึ่งการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในงาน เป็นวิธีเดียวที่ Gen Y ให้ความสำคัญมากกว่า Gen Z เล็กน้อย

ขณะที่แนวทางอื่น เช่น การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน คำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ เวิร์กช็อป หรือการสัมมนาในอุตสาหกรรม และโปรแกรมฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ล้วนเป็นแนวทางที่ Gen Z ให้ความสำคัญมากกว่า Gen Y

ทักษะที่คนรุ่น Gen Z ในประเทศไทยให้ความสำคัญมากกว่า Gen Y อย่างชัดเจน ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล เช่น การใช้โซเชียลมีเดียและการตลาดดิจิทัล ทักษะการจัดการเวลา และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม

กังวลคุณภาพและค่าใช้จ่ายเรียนต่อ

คนรุ่นใหม่ไทยให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 31% โดยมีเพียง 16% ที่ระบุว่าไม่ได้วางแผนศึกษาต่อ โดยเหตุผลหลัก 3 ข้อแรกของผู้ที่ไม่ศึกษาต่อ ได้แก่ 1. สถานการณ์ครอบครัวหรือส่วนตัว 2. ข้อจำกัดด้านการเงิน และ 3. ความต้องการเรียนรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับเงื่อนไขของตัวเอง

ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเรื่องความกังวลของคนรุ่นใหม่ไทยที่มีต่อระบบการศึกษา มุ่งไปที่ประเด็นคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง ซึ่งเป็นความกังวลที่นำหน้าความกังวลด้านอื่นๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าโอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงที่จำกัด ความสอดคล้องของหลักสูตรกับความต้องการของตลาดแรงงาน และทางเลือกการเรียนรู้ที่ยังขาดความยืดหยุ่น

ดังนั้น แนวทางที่นายจ้างสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ได้ มี 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. การสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ภายในองค์กรโดยเฉพาะ พร้อมจัดสรรเวลาให้พนักงานเรียนรู้ได้โดยไม่กระทบกับภาระงาน ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากคน Gen Z 34% เทียบกับ Gen Y ที่ 25% โดยแสดงถึงความคาดหวังที่แตกต่างกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่

2. การอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และ 3. การเปิดโอกาสให้หมุนเวียนงานหรือเข้าร่วมฝึกงาน พบว่าได้รับการสนับสนุนในระดับใกล้เคียงกันจากทั้ง 2 เจนเนอเรชั่น

ดร.โชดก เสริมว่า จากที่ติดตามรายงานฉบับนี้มาติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จะเห็นว่าข้อมูลในแต่ละปีมีทิศทางที่ตอบคำถามด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องการเห็นการพูดคุยกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การลงทุนทางการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่ตอบโจทย์มากกว่านี้